ดาว...กับความสำเร็จ
สำหรับทุกๆชีวิตที่อยากพบความสำเร็จ
.........................กำลังใจ จากดวงดาว.............................
ทุก ๆ ครั้งที่เราแหงนมองดูท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งปราศจากเมฆหมอกมาบดบัง
เราจะมองเห็นหมู่ดวงดาวน้อยใหญ่
ส่องแสงระยิบระยับอยู่เต็มฟากฟ้า
ซึ่งทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนมีชีวิตและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝัน
ที่รอคอยให้ทุกชีวิตปีนป่ายขึ้นไปค้นหาและไขว่คว้าเอามาประดับใจตน
หลาย ๆ ครั้งที่เรารู้สึกท้อแท้ สับสน โดดเดี่ยว เหงา หรือมืดมนไม่มีทางไป
แต่เมื่อเรารวบรวมจิตใจให้มั่นคงและยืนเพ่งมองดูท้องฟ้าอย่างเงียบ ๆ
เราจะรู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบอันแผ่วเบาจากดวงดาวนับล้านดวง
ที่พร้อมจะอยู่เป็นเพื่อน คอยห่วงใยเอาใจช่วย
และคอยเป็นกำลังใจให้กับเราอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งมันช่วยทำให้เรารู้สึกมีความสบายใจ
มีความหวังและมีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด
ทุก ๆ ครั้งที่เราแหงนมองดูท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งปราศจากเมฆหมอกมาบดบัง
เราจะมองเห็นหมู่ดวงดาวน้อยใหญ่
ส่องแสงระยิบระยับอยู่เต็มฟากฟ้า
ซึ่งทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนมีชีวิตและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝัน
ที่รอคอยให้ทุกชีวิตปีนป่ายขึ้นไปค้นหาและไขว่คว้าเอามาประดับใจตน
หลาย ๆ ครั้งที่เรารู้สึกท้อแท้ สับสน โดดเดี่ยว เหงา หรือมืดมนไม่มีทางไป
แต่เมื่อเรารวบรวมจิตใจให้มั่นคงและยืนเพ่งมองดูท้องฟ้าอย่างเงียบ ๆ
เราจะรู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบอันแผ่วเบาจากดวงดาวนับล้านดวง
ที่พร้อมจะอยู่เป็นเพื่อน คอยห่วงใยเอาใจช่วย
และคอยเป็นกำลังใจให้กับเราอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งมันช่วยทำให้เรารู้สึกมีความสบายใจ
มีความหวังและมีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด
ดวงดาว จึงไม่ใช่จะมีความสำคัญเฉพาะกับท้องฟ้าเพียงเท่านั้น
แต่ยังมีความหมายต่อชีวิตและจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกชีวิต
ในฐานะที่ช่วยทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างมีความหวังมากยิ่งขึ้น
เพราะมนุษย์ต่างก็ใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตที่ดีงาม
ดุจดั่งดวงดาวที่สุกใสอยู่บนฟากฟ้าเหมือนกันทุกๆ คน
ดวงดาวที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้น มีทั้งดาวดวงเล็กและดวงใหญ่
มีทั้งที่กำลังเปล่งประกายเจิดจ้าและที่อับแสง
บ้างก็ดำรงอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนานแสนนาน
และบ้างก็สูญสลายหายไปตามกระแสแห่งกาลเวลา
มนุษย์ก็คงจะเหมือนกับดวงดาวทั้งหลายเหล่านั้น
ที่มีชีวิตและความเป็นไปที่แตกต่างกัน
จะมีที่เหมือนกันอยู่บ้างก็ตรงที่เราต่างก็รักที่จะมีความสุข
เกลียดกลัวต่อความทุกข์
รวมทั้งปรารถนาที่จะให้ชีวิตเป็นเหมือนดั่งดวงดาวกันทุก ๆ คน
ซึ่งก็มีหลายคนที่มีความฝันที่เป็นจริง
ในขณะที่ความฝันของอีกหลาย ๆ คนก็เป็นได้แค่เพียงความฝันที่ล่องลอย
ค่ำคืนนี้…….. ณ ขอบฟ้าที่ไกลลิบลับตา
สะเก็ดดาวเล็ก ๆ ดวงหนึ่งได้ร่วงหล่นมายังชั้นบรรยากาศของโลก
และเมื่อวิ่งมากระทบเสียดสีกับบรรยากาศของโลกอย่างรวดเร็ว
ทำให้เกิดการลุกไหม้ขึ้น กลายเป็นดาวตกเพียงดวงเดียว
ที่ส่องแสงสว่างสวยงามในค่ำคืนของราตรีนี้
ดาวตก………ได้ลาจากไปแล้ว
พร้อมกับการดับสูญของดาวดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่ง
หากแต่ชีวิตของมนนุษย์ หาได้ดับสูญตามไปด้วยแต่อย่างใดไม่
ชีวิตของมนุษย์ยังจะต้องดิ้นรน ต่อสู้ฟันฝ่าและก้าวเดินไปข้างหน้า
จนกว่าจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงและลมหายใจ
ทำความดีเอาไว้เถิด ไม่ว่าคุณจะมีตำแหน่งหรือหน้าที่การงานอะไรก็ตาม
ขอให้คุณหมั่นกระทำความดีเอาไว้มาก ๆ
"แล้วคุณจะเป็นดวงดาวที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่บนฟากฟ้าตราบนิรันดร์
โดยไม่มีวันที่จะร่วงหล่นตกลงสู่พื้นดินเฉกเช่นดาวตกดวงนั้นอีก"
ตำนานดวงดาว
ตำนานการก่อกำเนิดของดวงดาวต่างๆ ที่ไม่อิงหลักวิทยาศาสตร์
เอามาฝากให้อ่านกันเล่นๆ เสริมสร้างจินตนาการค่ะ
ตำนานอียิปต์
ตามตำนานอียิปต์ โอซีรีส เป็นกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม เป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรยิ่งนัก ทรงมีพระมเหสีนามว่า ไอสิส พระนางไอสิส เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์กว่าใคร โอซีรีส ทรงมีพระอนุชามากมาย พระอนุชาองค์รองของพระองค์นั้น ริษยาอาฆาต ต้องการที่จะเป็นใหญ่ จึงออกอุบายให้ช่างทำโลงศพ ที่ประดับประดาอย่างสวยงามอลังการ โดยแอบวัดขนาดองค์ของ โอซีรีส ให้พอดีกันอย่างเหมาะเจาะ แล้วก็เชิญชวนเหล่าพระเชษฐาอนุชา มางานเลี้ยงเพื่อชมความงามของโลงนั้น แล้วบอกว่า เป็นโลงที่สร้างอย่างงดงามที่สุด แต่จะมอบให้องค์ใดที่มีส่วนสัดเหมาะเจาะกับขนาด ทุกองค์ก็ต้องลองเข้าไปนอนดู เมื่อถึงคราว โอซีรีส เข้าไปในโลง พระอนุชาก็ตอกฝาโลงปิดสนิทจน โอซีรีสสิ้นพระทัยในโลง พระนางไอสิส กลับจากการเดินทางมาทราบข่าวก็โศกาอาดูร พยายามไปตามพระศพของ โอซีรีส ปรากฏว่า พระอนุชาได้ตัดพระศพเป็นสิบสี่ท่อนโยนทิ้งไปคนละทิศ พระนางไอสิส ก็ไปตามเก็บมาหมด ขาดส่วนที่สำคัญหนึ่งชิ้นคือ อวัยวะชาย ซึ่งถูกโยนลงแม่น้ำไนล์และถูกปลากินไป พระนางจึงเอาไม้สน ซึ่งเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ (คงเนื่องจากหาได้ยากในทะเลทราย) มาเหลาติดต่อให้เป็นเทวลึงค์ แล้วห่อพระศพด้วยผ้าลินินพันไปรอบๆ พร้อมด้วยกรรมวิธีต่างๆ อันเป็นแบบแผนของการทำมัมมี่ในยุคหลัง เสร็จแล้ว นางก็เป่าลมหายใจวิเศษ(บา) นำวิญญาณกลับคืนสู่ร่างมัมมี่ โอซีรีส ก็ฟื้นคืนองค์ ลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปปกครองผืนฟ้า เป็นเจ้ามนุษย์หลังจากความตายไป ว่ากันว่า ปิรามิดเมืองกีซ่า นั้น สร้างขึ้นเพื่อเลียนตำแหน่งของ เข็มขัดโอไรอัน แต่จะจริงเท็จอย่างไรคงต้องรอพิสูจน์กันอีก
ตำนานพระจันทร์ 2 ดวง
นานมาแล้ว..สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง
มีพระจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงกับอีกดวงหนึ่งเป็นผู้ชาย
และพระจันทร์สองดวงนี้ต่างก็รักกันมาก ดวงจันทร์ทั้ง 2 ไม่เคยแยกห่างจากกัน
ทุก ๆ คืนเมื่อมองไปบนฟ้า จะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันเสมอ
แต่แล้ววันหนึ่งดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบกับดวงอาทิตย์
ทำให้ดวงจันทร์หลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์
จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไป ทีละน้อย ๆ
จนแยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งในที่สุด
เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงมีดวงจันทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว
ดวงจันทร์ดวงนั้นจึงได้แต่ตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง
คืนแล้วคืนเล่าผ่านไปดวงจันทร์ผู้ชายก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงได้พบ
ด้วยความคิดถึงและอยากพบให้เร็วที่สุด ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า
“หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้คงไม่ได้เจอแน่ๆ”
จึงตัดสินใจ…..ระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วทั้งจักรวาล
เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงหนึ่งนั้น
………….............................
เมื่อเวลาผ่านไปทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่า
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักปานใด
แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้านั้นแต่เพียงตนเท่านั้น
ยังส่องแสงไปยังดวงอื่น ๆ อีกมากมาย
ดวงจันทร์จึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง…
แต่หาเท่าไหร่ก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ
ต่อมาจึงได้รู้ว่า…
ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพียงเพื่อตามหาตนจนกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยว เล็กๆ
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงดาวผู้ชายอีกต่อไปแล้ว
จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ
แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ดวงจันทร์ผู้ชายมีต่อดวงจันทร์ผู้หญิง…
ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตนส่องให้ถึง
ดวงจันทร์ผู้หญิง
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เราเห็นจนถึงทุกวันนี้
สังเกตมั้ยว่า……
คืนใดที่ดวงจันทร์เต็มดวงจรัสแสงประกายเจิดจ้ามากที่สุด
คืนนั้นท้องฟ้าไร้ดวงดาว
แต่หากคืนใดที่เมฆน้อยบดบังดวงจันทร์ไปหมดสิ้น
ค่ำคืนนั้นเรากลับได้เห็นดวงดาวทอแสงเต็มท้องฟ้า
ตำนานดวงดาวกรีก
จากวีรกรรมที่ได้สังหาร นางมารเมดูซ่า เมื่อ เพอร์ซีอุส สิ้นชีวิตลงก็ได้ไปสถิตอยู่บนฟ้าเป็น กลุ่มดาว เพอร์ซีอุส ที่ในมือยังหิ้วหัวนางเมดูซ่าอยู่ ดาวที่มีชื่อมากใน กลุ่มดาวเพอร์ซีอุส คือ อัลกอล(Algol) ซึ่งเป็นชื่อมาจากภาษาอาหรับโบราณ Al Ghul ในความหมายเดียวกับภาษาอังกฤษว่า The Ghoul ในภาษาฮิบบรูของชาวยิว ก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Rosh ha Sitan ซึ่งแปลว่า หัวของปีศาจ ชาวจีนมีหลักฐานบันทึกชื่อดาวดวงนี้ว่า Tseih She ซึ่งแปลว่า กองศพ ดาวดวงนี้ ถูกเรียกว่าเป็น ดาวปีศาจ มาแต่สมัยโบราณแล้ว ตำราโหราศาสตร์เชื่อว่า เป็นดาวที่นำโชคร้าย ชาวอียิปต์โบราณ เชื่อว่า ดาวดวงนี้มีวิญญาณ หรือ Khu(คู) สถิตย์อยู่ และก็เป็นชื่อที่เหมาะสมมาก นับแต่โบราณกาล อัลกอล เป็นดาวที่แปลกกว่าดาวดวงอื่น คือทุกๆ ๖๘ ชั่วโมง ๔๙ นาที มันจะหรี่แสงลงอย่างฉับพลัน ความหรี่แสงจะคงอยู่ประมาณ ๘ ชั่วโมง แล้วกลับสว่างขึ้นอย่างปุบปับเช่นกัน ในเวลาประมาณ ๓ วันเช่นนี้ ก็สั้นมากพอที่จะสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า(หากใช้กล้องส่องทางไกลจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น) เหมือนกับ ตาปีศาจ ที่ยังหลอกหลอนหมู่มนุษย์ มาชั่วกัปชั่วกัลป์ ในปี ค.ศ. ๑๗๘๒-๘๓ John Goodricke นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นผู้ค้นพบว่า อัลกอล เป็นระบบดาวคู่ ที่โคจรรอบจุดศูนย์กลางร่วม แต่ดาวดวงหนึ่ง ใหญ่กว่าอีกดวงมาก คือมีมวล ๓.๘ และ ๐.๘ เท่าของดวงอาทิตย์ตามลำดับ แล้วดาวทั้งคู่ ก็โคจรรอบกันและกัน เหมือนการหมุนของลูกตุ้มดัมเบลล์ ดาวดวงใหญ่กว่า ก็อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางร่วมมากกว่าดวงเล็ก บางครั้งดวงเล็กก็บังดวงใหญ่ ทำให้แสงหรี่ลงเล็กน้อย บางครั้งที่ดวงใหญ่บังดวงเล็ก แสงก็หรี่ลงมาก พอดาวที่บัง โคจรมาตัดหน้าเมื่อมองจากโลก แสงก็หรี่ลงอย่างฉับพลัน พอโคจรพ้นออกไป แสงก็สว่างจ้าขึ้น เนื่องจากเป็นคาบการโคจรที่แน่นอน จึงมีระยะเวลา หรี่แสง-จ้าแสง ที่แน่นอนตามไปด้วย ด้วยคาบการโคจรที่สั้นมาก ในเวลาไม่ถึง ๓ วันเท่านั้น จึงทำให้สังเกตได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลง นักดาราศาสตร์ เรียกระบบดาวคู่เช่นนี้ว่า Eclipsing binary คือเป็นระบบดาวคู่ที่คราสกันส่วนอันดรอเมด้า ก็ได้รับความเป็นอมตะ ได้เป็นกลุ่มดาวอยู่ไม่ไกลจาก เพอร์ซีอุส นัก ข้างๆนาง ก็มี กลุ่มดาว เพกาซุส ที่เพิ่งถือกำเนิดมาจากเลือดที่ไหลนองออกจากร่าง นางเมดูซ่าส่วนอันดรอเมด้า ก็ได้รับความเป็นอมตะ ได้เป็นกลุ่มดาวอยู่ไม่ไกลจาก เพอร์ซีอุส นัก ข้างๆนาง ก็มี กลุ่มดาว เพกาซุส ที่เพิ่งถือกำเนิดมาจากเลือดที่ไหลนองออกจากร่าง นางเมดูซ่าโดย เจ้าหญิง ก็ยังถูกตรึงอยู่กับก้อนหินชายหาด รอวีรบุรุษในดวงใจของเธอมาช่วยชีวิต จากเงื้อมมือของอสูรร้าย ที่กลายเป็นกลุ่มดาวเซตัส อยู่ไม่ห่างไกล คอยจ้องจะขย้ำนาง ไล่ตามกันไปรอบดาวเหนือ แต่พระเอกของเรา ก็บินลอยฟ้าตามมาไม่ห่าง คอยคุ้มครองปกป้องสาวงามผู้เสียขวัญ เป็นนิยายรักให้ชาวโลกชื่นชมชั่วกาลนาน
เทพกรีกที่เกี่ยวข้องกับชื่อดาว
Phoibos (Apollo ดวงอาทิตย์) เทพแห่งดวงอาทิตย์และแสงสว่าง ลูกชายซุสกับ Leto (ธิดาของ Coeus กับ Phoebe) มีรูปงามที่สุดในบรรดาเทพบุตร มีธนูเงินเป็นอาวุธ โปรดบทกวีและดนตรี(ชอบเป่าขลุ่ย) ได้สมญา ว่า ผู้ฆ่าสุนัขป่า มีสัญลักษณ์คือ ต้น Laurel และไก่
Artemis(Diana,ดวงจันทร์) เทพีแห่งป่า, การล่า และความอุดมสมบูรณ์ ฝาแฝดของ Helious รักษาพรหมจรรย์ ไม่แต่งงานกับใคร ชอบขี่ม้า มีธนูเงินเป็นอาวุธ บางครั้งมีอารมณ์ร้ายและเลือดเย็น ตามประสาสาวโสด
Hermes หรือ มีชื่อในภาษาลาตินว่า Mercury{เป็นที่มาของชื่อดาวพุธ Mercury และปรอท} เทพแห่งการค้าและการโจรกรรม เป็นเทพเดินสารประจำตัวซุส บุตรของซุสกับ Maia(ธิดา Atlas เทพธิดาแห่งการเจริญเติบโต) สวมหมวกและรองเท้ามีปีก ทำให้หายตัวและเหาะได้
Aphrodite หรือมีชื่อในภาษาลาตินว่า Venus {เป็นที่มาของชื่อดาวศุกร์ Venus} เทพีแห่งความรักและความงาม เกิดจากฟองคลื่นในทะเล มีสัญลักษณ์คือ หงส์
Ares หรือ ในชื่อลาตินว่า Mar {เป็นที่มาของคำว่า ดาวอังคาร Mar และเดือนมีนาคม March} เทพแห่งสงคราม บุตรของซุสกับเฮรา มีนิสัยโหดร้าย ชอบกลิ่นคาวเลือด เป็นที่เกลียดชังของมนุษย์และเทพ มีสัญลักษณ์คือ สุนัข มีบุตร 2 องค์คือ Phobos(ความกลัว) กับ Deimos(ความสยดสยอง) มักจะติดตามออกศึกกับบิดาเสมอๆ {ต่อมากลายเป็นชื่อดวงจันทร์ 2 ดวงของดาวอังคารไป}
ซุส (Zeus- เทพแห่งสวรรค์ ท้องฟ้า ) หรือชื่อในภาษาลาตินว่า Jupiter {เป็นที่มาของชื่อดาวพฤหัส Jupiter} เจ้าแห่งฝนฟ้าอากาศ มีสายฟ้าเป็นอาวุธ มีสัญลักษณ์คือ ต้นโอ๊ค และนกอินทรี
ยูโรปา(Europa) เป็นลูกสาวของ Agenor และเป็นคนรักอีกคนของซุส โดยซุสได้แปลงกายเป็นวัวสีขาวไปพบยูโรปาที่ชายทะเล วัวซุสได้เข้าหายูโรปาด้วยท่าทางที่เชื่องและคุ้นเคยกับมนุษย์ วัวซุสได้คะยั้นคะยอให้ยูโรปาขี่หลังของมัน และทันใดนั้นวัวซุสได้ว่ายข้ามทะเลไปยังเกาะครีต และแปลงกายกลับเป็นเทพตามเดิม และอยู่กินกับยูโรปา จนให้กำเนิด ลูก 3 คน คือ Minos, Sarpedon และ Rhadamanthys ซุสได้ให้ของวิเศษ 3 อย่างแก่ ยูโรปาคือ มนุษย์สัมฤทธิ์ Talos ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ตัวเธอ , หมา Laelaps ที่ไม่เคยพลาดจากเหยื่อของมัน และหอกซัดที่ไม่เคยพลาดเป้า ต่อมายูโรปาได้อภิเษกกับพระราชาแห่งเกาะครีต Asterius {ชื่อของเธอ ถูกกาลิเลโอ นำมาตั้งเป็นชื่อดวงจันทร์ของดาวพฤหัส และสันนิษฐานว่า อาจเป็นที่มาของชื่อทวีปยุโรป}
10พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ของอนาคตการเป็นโรคสมองฝ่อ
วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5.มลภาวะสมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป
จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตาได้
7.นอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อ
ประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบายการทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วยจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง
เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำให้สมองฟ่อ เพื่อจะได้มีสมองที่ดี .....
ปรับเปลี่ยนเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีๆ กับวันเวลาดีๆที่ยังไม่ถึงน่ะคะ
กรรมจากการทำแท้ง
"
กิจโฉ มนุษะ ปฏิภาโพธิ์" การเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก
เป็นพระพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในครั้งหนึ่งพระสารีบุตรเคยทูลถามพระพุทธองค์ว่า...
"การเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสมากน้อยเพียงใดพระเจ้าข้าฯ"
พระพุทธองค์ไม่ตรัสอะไรเลย แต่ทรงใช้นิ้วมือแตะลงบนพื้นดินแล้วชูขึ้น
ตรัสตอบกับพระสารีบุตรว่า...
"มีเพียงแค่นี้... สารีบุตร" นั้นหมายถึงสรรพสัตว์ที่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด
ในภพภูมิต่างๆ มีจำนวนมากเทียบเท่ากับดินทั่วไปทั่วพื้นปฐพีแต่ที่สามารถ
เกิดไปเป็นมนุษย์ได้... มีเพียงแค่ดินที่ติดปลายนิ้วของพระพุทธองค์เท่านั้น
การทำแท้ง คือ การฆ่าคน เป็นฆาตกรฆ่าลูกในไส้ของตนเอง ไม่ว่าผู้นั้นขึ้นชื่อว่าแม่หรือพ่อก็ล้วนเป็นหุ้นส่วน
กรรมมหันต์นี้ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ต้องโยนบาปให้กันและกัน ไม่ต้องโยนผิดป้ายโทษว่าใครเป็นต้นเหตุ
สุดท้ายได้รับกรรมอย่างสาสมด้วยกันทั้งคู่ ความจริงเรื่องการทำแท้งเป็นผลสุดท้ายของความชั่ว
ที่ได้รับการไตร่ตรอง วางแผนทำลายหลักฐานการก่อความชั่ว ส่วนเหตุนั้นมาจากการที่บุคคลขาดการสำรวม
ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เห็นความมักมากในกามอารมณ์เป็นของสนุกอย่างไร้ยางอาย
ขาดความศรัทธาและขาดความเคารพในธรรม ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
ความประพฤติที่ประมาทท้าทายต่อธรรม ในเกรงกลัวไม่ละอายต่อบาปใดๆ ทั้งสิ้น
ผลกรรมจากการทำแท้งพระพุทธองค์ยังได้ตรัสอีกว่า...
ผู้ที่เคยทำแท้ง ขณะมีชีวิตจะได้รับผลกรรมสนองจากโรคร้าย ป่วยหนัก อายุสั้น
การถูกขัดขวางไม่ให้พบความเจริญ มีความฉิบหายมาสู่ตนอย่างหาสาเหตุไม่ได้...
ธรรมะอยู่ที่ ๕๐ : ๕๐
ถ้าคิดว่า “เขาทำผิด” เขาไม่ควรทำเราอย่างนี้
ให้คิดว่าเราก็ผิด ๕๐ % ด้วย
คิดอย่างนี้เราก็จะไม่โกรธเขา เพราะถ้าโกรธเขาก็ต้องโกรธตัวเราด้วย
และเขาอาจจะไม่ผิดก็ได้ เชื่อไว้ ๕๐ % ก่อน
คิดอย่างนี้เราก็ไม่ทุกข์
ใครเล่าว่า “คนนั้นเขานินทาเราอย่างนั้นอย่างนี้ คนนั้นเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้”
อย่าเพิ่งเชื่อ และก็อย่าเพิ่งปฏิเสธทันที
รับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
อย่าวิพากษ์วิจารณ์ทันที แล้วก็เป็นทุกข์ แล้วก็ปรุงแต่งต่อไป
บ่อยๆ ครั้งเราก็จะโกรธและเสียเวลาคิด เสียอารมณ์ไปโดยเปล่าประโยชน์
อย่าไปทำตามคำพูด ความคิดของใครๆทั้งหมดทันที
ฟังแล้วทำตามเขา ๑๐๐ % ก็มักจะวุ่นบ่อยๆ
เพราะความคิดก็เป็นอนิจจัง เขา (ผู้พูด) อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
เราอาจฟังผิดก็ได้ เขาอาจคิดผิดและเปลี่ยนความคิดใหม่ก็ได้
ถ้าเรารับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
ตั้งสติของเราเข้าไว้ ก็จะปลอดภัย ไม่สับสน ไม่ทุกข์
แม้แต่ความคิดของเราเองก็อย่าเชื่อ ๑๐๐ %
รับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
เพราะเราก็อาจเปลี่ยนความคิดได้
ที่เราคิดว่าถูก จริงๆ อาจผิดก็ได้
ไม่แน่หรอก
สรุปว่า อย่าเชื่อทั้งตัวเรา ตัวเขา อย่าเชื่อทั้งสุข และทุกข์ ๑๐๐%
รับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องแปลกใจตั้งสติเข้าไว้ก่อน
พิจารณาให้ดีก่อน
สุขก็ไม่แน่นอน ทุกข์ก็ไม่แน่นอน
สุขหายไปก็ทุกข์ ทุกข์หายไปก็สุข
ทุกอย่างไม่แน่นอน...ก็เท่านั้นเอง
เขานินทาเรา
เขานินทาเรา เขาด่าเรา เขาแย่งของเราไป ฯลฯ
เราไม่พอใจ เรากำลังจะโกรธ ต้องรีบแก้ไขทันที
“เขา” ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรากำลังจะเป็นทุกข์
เรากำลังจะผิดศีล กำลังจะผิดข้อวัตรของเรา
ระวังนะ...ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็ผิดข้อวัตรของเราแล้ว
ผิดศีล เราก็บาปแล้ว
เราต้องมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป
ถ้าเราเป็นทุกข์ เราผิดศีล เราก็บาป
ใครเขานินทาเราก็ไม่สำคัญเขาทำอะไรๆ เราก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรา
สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์เท่านั้นก็พอแล้ว
ไม่ต้องดูใคร ไม่ต้องฟังใคร ดูกายกับใจของเรานี่แหละ
เราต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ นะ
เราขึ้นอยู่กับคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไม่ได้หรอก
ระวังนะ... คนโน้นคนนี้ก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่จิตของเรานี่แหละ
ใครทุกข์ก็ไม่ต้องทุกข์ตามเขา ไม่ต้องโต้ตอบ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องกลัว
สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์นะ
ถ้าเราทุกข์แล้วผิดแล้วนะ ไม่ใช่เขาผิดหรอก
ต้องรีบพิจารณาแก้ไขทันที
พลิกนิดเดียว แล้วอยู่อย่างมีความสุข
คนเราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่ที่ความคิดนิดเดียว
พลิกนิดเดียวเราก็จะไม่เป็นทุกข์
พลิกนิดเดียวก็จะเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิ
จากความคิดผิดเป็นความคิดถูก
จากทางโลกมาสู่ทางธรรม
พลิกนิดเดียวเราก็จะอยู่ได้อย่างไม่มีทุกข์
อยู่กับปัจจุบันได้อย่างสงบ
ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่ละขณะอย่างสมบูรณ์การเจริญสติปัฏฐาน คือการอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ที่จะต้องดับ (ท่อนหลังนี้ เป็นถ้อยคำสำนวนของพระเดชพระคุณพระราชวรมุนี (ปัจจุบันคือ พระ ธรรมปิฏก) ในหนังสือพุทธธรรม ซึ่งบังเอิญเป็นเรื่องเดียวกันพอดีที่ท่านอาจารย์สอนจึงกราบขอ อนุญาตคัดมาประกอบ)การเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญสมาธิวิปัสสนา ก็เพื่อหัดเปลี่ยนจากการอยู่อย่างมีทุกข์เป็นพื้นฐาน มาเป็นการอยู่อย่างมีความสุขเป็นพื้นฐาน
เพียงแต่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่ในขณะนั้นๆ
ไม่อยู่กับอดีตบ้าง อนาคตบ้าง
รับรู้และเสวยอารมณ์แต่ละขณะอย่างเต็มบริบูรณ์
เห็นความงดงามของปัจจุบัน อย่ามัวแต่อยู่กับอดีตและอนาคต
ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะอย่างสิ้นเชิง
วิธีถอนคำสาปแช่ง
..
มีคนจำนวนไม่น้อยมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์กาย - ทุกข์ใจ บ้างก็ทุกข์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ทุกคนมักเห็นว่าทุกข์ของตนมีมากมาย ไม่ว่าทุกข์กาย - ทุกข์ใจก็ตาม และมักคิดคล้ายๆ กันว่าทุกข์ของตนมากกว่าทุกข์ของผู้อื่น
เมื่อมีความทุกข์ก็ย่อมพยายามดิ้นรนหาวิธีพ้นทุกข์ แต่ส่วนมากจะหาวิธีหนีทุกข์ในทางที่ผิดๆ แทนที่จะลดทุกข์กลับเพิ่มทุกข์ เช่นการดื่มสุราบ้าง เล่นการพนันบ้าง จนถึงฉ้อโกงลักทรัพย์ปล้นสะดม ลืมคิดถึงเวรกรรมว่าจะต้องตอบสนองแน่นอน ไม่เร็วก็ช้าเป็นการเพิ่มทุกข์ให้สาหัสขึ้น
พุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ว่าทำกรรมใดไว้ (ไม่ว่าดีหรือชั่ว) ก็ตาม ผลกรรมย่อมตามสนอง บ้างก็รวดเร็วทันตาเห็น บ้างก็รอคอยตามสนองไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น กรรมนั้นมีทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
มโนกรรมกับวจีกรรมเป็นสิ่งที่คนเราชอบกระทำมากที่สุด เมื่อยามโกรธเคืองหรือเจ็บแค้นใคร ไม่อาจตอบโต้ทางกายได้ก็กระทำทางวาจา เช่น แช่งด่า หรือทางใจก็นึกสาปแช่งให้คนที่ก่อกรรมให้ตน หรือทำให้ตนขุ่นเคืองต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นานา จนถึงลงมือกระทำการจริงๆ จังๆ
เช่น เผาพริก - เผาเกลือแช่งให้มีอันเป็นไปในทางร้ายๆ จนถึงแก่ชีวิตบ้าง จ้างวานผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ หรือหมอผีทำร้ายด้วยอาคม เช่น เสกตะปู เสกสายสิญจน์ แม้แต่หนังควายเข้าท้อง โดยเชื่อว่าจะได้ผลจริงๆ จังๆ
ทางธรรมะถือว่าเป็นการประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น แม้จะเป็นเพียงความคิดก็เป็นบาปกรรมอย่างหนึ่ง จะต้องติดตามมาสนองให้ตอ้งชดใช้กรรมไม่ช้าก็เร็ว
ผู้ใดมีความทุกข์กาย - ทุกข์ใจ โดยจำไม่ได้ว่าเคยทำบาปกรรมใดไว้บ้าง หรือมั่นใจว่าไม่เคยได้กระทำไว้เลย อาจจะเป็นกรรมเก่าก็ได้ที่เคยสาปแช่งผู้อื่นไว้ก็เป็นไปได้
พระชุมพล พลปญโญ ได้เขียน "คำถอนอธิษฐานที่เป็นมิจฉาทิฐิ" ในนิตยสาร "ไตรรัตน์" ฉบับที่ ๙ ไว้ดังนี้
"อิมัง มิจฉา อะธิฎฐานัง ปัจจุทธะรามิ
ทุติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะธิฎฐานัง ปัจจุทธะรามิ
ตะติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะธิฎฐานัง ปัจจุธะรามิ"
ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน ถอนคำสาป ถอนคำแช่ง ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้นถึงพร้อมแล้ว ด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยอุปทาน ด้วยราคะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยมานะ ด้วยมิจฉาทิฐิ เป็นไปเพื่อความพยาบาทเบียดเบียน สร้างเวรสร้างกรรม ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่ประกอบด้วยวินัย ไม่ประกอบด้วยกุศล ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยบารมี ที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานไว้ สาปไว้ แช่งไว้ ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าขออ้างเอาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า แม่พระธรณี แม่พระคงคง แม่พระเพลิง แม่พระพาย และเทวดาทั้งหลายทั้งปวง มาเป็นพยาน ว่าข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐานเหล่านั้น ถอนคำสาปเหล่านั้น ถอนคำแช่งเหล่านั้นร้อยหน พันหน หมื่นหน แสนหน ล้านหน โกฎิหน ณ กาลบัดนี้เทอญ
"นะถอน โมถอน พุทถอน ธาถอน ยะถอน
นะคลอน โมคลอน พุทคลอน ธาคลอน ยะคลอน
ถอนถ้วย นะโม พุทธายะ"
ข้าพเจ้าขอยกโทษ อโหสิกรรม และให้อภัยในความบกพร่อง ผิดพลาดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง ทุกชีิวิต ทุกจิตวิญญาน ในทุกที่สถาน ในกาลทุกเมื่อเทอญ
ขอบคุณที่มา : คอลัมภ์ กรรมกำหนด หนังสือชีวิตเป็นสุข