จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ข้อมูลท่องเที่ยว 76 จังหวัด
หน้าแรก > ข้อมูลท่องเที่ยว 76 จังหวัด
ข้อมูลท่องเที่ยว 76 จังหวัด


ภาคเหนือ

กำแพงเพชร
เชียงราย
เชียงใหม่
ตาก
นครสวรรค์
น่าน
พะเยา
พิจิตร
พิษณุโลก
เพชรบูรณ์
แพร่
แม่ฮ่องสอน
ลำปาง
ลำพูน
สุโขทัย
อุตรดิตถ์
อุทัยธานี

ภาคกลาง

กรุงเทพมหานคร
กาญจนบุรี
ฉะเชิงเทรา
ชัยนาท
นครปฐม
นนทบุรี
ปทุมธานี
ประจวบคีรีขันธ์
ปราจีนบุรี
พระนครศรีอยุธยา
เพชรบุรี
ราชบุรี
ลพบุรี
สมุทรปราการ
สมุทรสงคราม
สมุทรสาคร
สระแก้ว
สระบุรี
สิงห์บุรี
สุพรรณบุรี
อ่างทอง

ชายฝั่งทะเลตะวันออก

จันทบุรี
ชลบุรี
ตราด
นครนายก
ระยอง

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

กาฬสินธุ์
ขอนแก่น
ชัยภูมิ
นครพนม
นครราชสีมา
บุรีรัมย์
มหาสารคาม
มุกดาหาร
ยโสธร
ร้อยเอ็ด
เลย
ศรีสะเกษ
สกลนคร
สุรินทร์
หนองคาย
หนองบัวลำภู
อำนาจเจริญ
อุดรธานี
อุบลราชธานี

ภาคใต้

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้เพื่อคุณแม่

กินเกลือป้องกันทารกพิการ
เอ๊ะ…มาแปลก เกลือเกี่ยวข้องกับทารกพิการได้อย่างไร ? ทุกคนรู้ดีว่า เกลือทะเลมีไอโอดีน คุณกินเกลือทุกวัน จึงเชื่อว่าตัวเองได้รับไอโอดีนเพียงพอ แน่นอนแต่คุณรู้ไหมว่าเกลือที่คนไทยเราบริโภคส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันเป็นเกลือสินเธาว์ซึ่งไม่มีไอโอดีน คุณอาจไม่ทราบว่า การขาดไอโอดีนในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เด็กเกิดมา พิกลพิการทางสมอง สติ ปัญญาทึบช่วยตนเองไม่ได้ หรือไอคิวต่ำกว่าที่ควร สำคัญต่อลูกน้อย คอพอก คืออาการขาดไอโอดีนที่เรารู้จักกันดี แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ถ้ามารดาอยู่ในภาวะขาดไอโอดีนขณะตั้งครรภ์ ทารกอาจเกิดพิการทั้งทางร่างกายและสมองขั้นรุนแรง รู้จักในวงการแพทย์ว่า โรคครีตินิซึ่ม (Cretinism) หรือภาวะแคระแกร็นแต่กำเนิด ลูกที่เกิดมาอาจเป็นใบ้ หูหนวก สติปัญญาอ่อนด้อย และมีอาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อแขนขา ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ต้องเป็นภาระเลี้ยงดูของครอบครัวและสังคมตลอดไป นอกเหนือกว่านั้น ภาวะขาดไอโอดีนยังมีส่วนสัมพันธ์กับอาการสมองพิการในผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกส่งผลอย่างมากต่อระบบการเรียนรู้และพัฒนาการ กลายเป็นโรคที่ชาวบ้านเรียก “เอ๋อ” การศึกษาในซาอีร์ พบว่า ถ้าให้ไอโอดีนแก่มารดาขณะตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดจะมีน้ำหนักมากขึ้น และมีโอกาสรอดมากกว่าเด็กขาดไอโอดีนถึง 2 เท่า อาหารไอโอดีน พบไอโอดีนตามธรรมชาติในเกลือทะเล อาหารทะเล สาหร่ายทะเล แต่ในทางปฏิบัติอาหารทะเลและสาหร่ายทะเลมีราคาแพงจนคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำได้แต่มองน้ำลายหก เดือนหนึ่งเผาปูกินสักกิโลก็เท่าแล้วดังนั้นองค์การอนามัยโลก ธนาคารโลกและยูนิเซฟ จึงได้ร่วมมือกันจัดการรณรงค์ระดับโลกให้ รัฐบาลชาติต่าง ๆ เติมไอโอดีนลงในเกลือบริโภค ซึ่งหากทำได้จริง โรค “เอ๋อ” ก็จะถูกกำจัดไปด้วย เห็นไหมค๊ะว่า การที่เราใส่ใจเรื่องในชีวิตประจำวัน เช่น เลือกใช้เกลือเสริมไอโอดีน หรือตั้งสำรับอาหารทะเลจำพวกน้ำพริกปลาทู หอยแมลงภู่ลวก ห่อหมกทะเลเหยาะเกลือเสริมไอโอดีนง่าย ๆ อย่างนี้ ส่งผลดีต่อสุขภาพลูก ๆ และทุกคนในครอบครัวอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตะลึง! แม่ไทยให้นมลูกติดที่โหล่โลก

ชี้เหตุฉุดไอคิว-เด็กขี้โรค สธ.จี้แก้ไขด่วน!!


สธ.เผยผลสำรวจพบแม่ไทยนิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนต่ำติดอันดับสุดท้ายเอเชีย และติดอันดับ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก เป็นเหตุฉุดไอคิวเด็กไทยต่ำกว่ามาตรฐาน และ 1 ใน 3 มีพัฒนาการช้า

จัดวาระด่วนแก้ไข สร้าง อสม. กว่า 8แสนคนทั่วประเทศ เป็นผู้วางรากฐานชีวิตเด็กเกิดใหม่ กระตุ้นหญิงตั้งครรภ์-หลังคลอดให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนให้ได้ หวังเด็กไทยมีไอคิวสูงขึ้น 11 จุด ชี้ประหยัดกว่านมผงเดือนละ 3,000 บาท ขณะที่อธิบดีกรมสุขภาพจิตชี้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ลดความขัดแย้งเด็กตีกัน ขาดอีคิวยับยั้งชั่งใจ

วันนี้ (29 ม.ค ) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคสุวะพลา อธิบดีกรมอนามัย นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนพ.บวร งามศิริอุดม ที่ปรึกษาและผู้ถวายงานโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ร่วมกันแถลงข่าว การจัดงานรวมพล “อสม. นมแม่ เพื่อสายใยรักแห่งครอบครัว” ซึ่งกำหนดจัดในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552 ที่เมืองทองธานี เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้คนไทยหันมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นาน 6 เดือนขึ้นไปให้มากขึ้น

นายวิทยา กล่าวว่า ผลการศึกษาพัฒนาการและระดับสติปัญญาหรือไอคิวของเด็กไทย มีแนวโน้มลดลง ล่าสุดในปี 2545 พบว่าเด็กไทยอายุ 6-13 ปี มีไอคิวอยู่ที่ 88 จุด ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ คือ 90-110 จุด และผลสำรวจพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยต่ำกว่า 5 ขวบ

ล่าสุดในปี 2550 พบมีแนวโน้มลดลง จากร้อยละ 72 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 68 ในปี 2550 ถือเป็นดัชนีชี้วัดอนาคตเด็กไทยที่น่าห่วงมาก ซึ่งทั้งไอคิวและพัฒนาการของเด็ก ร้อยละ 70 เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูในครอบครัว อีกร้อยละ 30 มาจากกรรมพันธุ์

เรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง พบว่า แม่ไทยในยุคหลังๆ นิยมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในอัตราที่ต่ำมาก ผลการศึกษาขององค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2549 พบประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพียงร้อยละ 5.4 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชีย และเป็นลำดับที่ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก จะต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในปี 2552 กระทรวงสาธารณสุขจะเน้น 2 เรื่อง คือ พัฒนาโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชน ให้เป็นโรงพยาบาลสายใยรักครอบครัว ปลอดการขายนมผง และประกาศให้เป็นปีแห่งการสร้างอนาคตประเทศไทย ส่งเสริม อสม.ทั่วประเทศที่มี 830,000 คน ให้เป็นผู้วางรากฐานชีวิตเด็กเกิดใหม่ที่มีปีละประมาณ 800,000 คน ให้ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของชีวิต

เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำให้เด็กไทยฉลาด สุขภาพดี อารมณ์ดี มีผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า เด็กที่กินนมแม่จะมีปัญญาดี หรือฉลาดกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ถึง 11 จุด ลดโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ ไม่ป่วยบ่อย

โดยจะให้ อสม.สำรวจหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอดในทุกหมู่บ้านชุมชน เพื่อส่งเสริมให้เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และเลี้ยงควบคู่อาหารตามวัยจนลูกอายุ 2 ปีหรือมากกว่า โดย อสม.1 คนจะให้ดูแลสุขภาพครอบครัวคนละ 8-15 หลังคาเรือน และจะให้กรมอนามัยประเมินผลในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นสัปดาห์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โลก ตั้งเป้าจะเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนให้ได้ถึงร้อยละ 30

ในการรงค์ให้คนไทยหันมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดโล่รางวัลสาขาการส่งเสริมนมแม่ ให้ อสม.ที่มีผลงานดีเด่นระดับชาติเพื่อเป็นสาขาที่ 11 ด้วย เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานในวัน อสม.แห่งชาติ 20 มีนาคม 2552 นี้

โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานพระรูป พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ขณะมีพระชันษาครบ 3 ปี ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำโปสเตอร์ “ฉลาด แข็งแรง อารมณ์ดี เริ่มที่...นมแม่” จำนวน 100,000 แผ่น และใส่กรอบจำนวน 100 ภาพ มอบให้กับบุคคลที่ส่งเสริมสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ประธาน อสม.ระดับจังหวัด เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจและเพื่อใช้ในกิจกรรมส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย

นพ.บวร งามศิริอุดม ที่ปรึกษาและผู้ถวายงานโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กเกิดปีละ 800,000 คน หาก อสม. 1 คนช่วยแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ครบ 6 เดือน จะช่วยประหยัดเงินซื้อนมผงเดือนละ 3,000 บาท หรือปีละ 14,400 ล้านบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากและ เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยที่กำลังประสบวิกฤติถดถอยได้อย่างดี

โดยได้กำหนดบทบาท อสม. นมแม่ไว้ 4 ประการ คือ

1.สำรวจหญิงตั้งครรภ์ และเยี่ยมหญิงหลังคลอดที่บ้าน เพื่อช่วยเหลือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

2.เผยแพร่ความรู้ ชักชวนให้แม่หลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวครบ 6 เดือน และกินนมแม่พร้อมอาหารตามวัยจนอายุครบ 2 ปี

3.เฝ้าระวังและปกป้องให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

4.ส่งต่อแม่หลังคลอดที่มีปัญหาเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขช่วยแก้ไข

“นมแม่” ลดความขัดแย้งเด็กตีกัน

ชี้!! การสัมผัสใกล้ชิดช่วยพัฒนาอีคิว


นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่า นมแม่ช่วยในเรื่องการของที่เด็กโตขึ้นมาชอบทะเลาะวิวาทลดความขัดแย้งกัน เพราะจากข้อมูลวิชาการพบว่า นมแม่มีส่วนช่วยในเรื่องของการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิว

อีกทั้งการได้รับความรัก การสัมผัสใกล้ชิดจากมารดาขณะให้นมบุตรก็มีสานสัมพันธ์มีส่วนช่วยในการพัฒนาอีคิวด้วย ซึ่งแนวโน้มอีคิวของเด็กไทยน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

เด็กตีกันเกิดจากปัจจัย 3-4 เรื่องได้แก่

1.ความแค้น โดยขาดการเจรจาต่อรอง ขาดอีคิวยับยั้งชั่งใจ

2.รุ่นพี่ทำตัวเป็นฮีโร่ในทางที่ผิด

3.เรื่องของศักดิ์ศรีของสถาบันการศึกษา

4.การสร้างปมขัดแย้งของเด็ก โดยวิธีแก้ไข ไม่ใช่ต่อหน้าก็มาจับมือกัน แต่แท้จริงแล้วมือเย็นเฉียบ แต่เดี๋ยวก็ตีกันใหม่ แต่อยู่ที่การพัฒนาทักษะด้วยการสร้างฮีโร่รูปแบบใหม่ ไม่ใช่นำรุ่นพี่ที่ตีกันมาเป็นฮีโร่

ทั้งนี้ ต้องแยกรุ่นพี่เหล่านี้ออกจากรุ่นน้องเพื่อไม่นำเป็นแบบอย่าง และนำพลังที่มาใช้ตีกันสร้างสรรค์ความดีงาม

นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การผลการศึกษาพัฒนาการและระดับสติปัญญาหรือไอคิวของเด็กไทยมีแนวโน้มลดลง ล่าสุด ปี 2550 ลดลงเหลือ 68% จากเดิมที่ปี 2547 ลดลง 72% ซึ่งปัญหานี้ 70% เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูของครอบครัว ส่วนอีก 30% มาจากกรรมพันธุ์

ครอบครัวสุขสันต์